แอน

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปัญหาเครื่องค้าง บนมือถือ Android กดปุ่มอะไรไม่ได้เลย แก้ไขอย่างไรดี มาดูกัน



น่าจะเป็นปัญหาที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนหลายๆ ท่าน คงจะเคยเจอะเจอมากันบ้างแล้ว กับอาการ เครื่องเอ๋อ เครื่องค้าง ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับ มือถือแอนดรอยด์ ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น รุ่นระดับล่าง, รุ่นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือแม้แต่ รุ่นเรือธงที่เพิ่งเปิดตัวและจำหน่ายมาไม่นานก็ตาม แน่นอนว่า ปัญหาดังกล่าว เกิดขึ้นมาจาก ซอฟท์แวร์ ที่สมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆ ใช้อยู่นั่นเอง และเมื่อเกิดปัญหาดังกล่าว ผู้ใช้งานหลายราย มักจะแก้ปัญหาไม่ค่อยถูก ส่วนใหญ่มักจะให้ร้านตู้เช็คสภาพให้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก่อนที่จะส่งซ่อม หรือส่งเข้าศูนย์ เมื่อเครื่องเกิดอาการค้าง หรือแฮงค์ ยังพอมีวิธีแก้ไขในเบื้องต้นกันบ้าง กับการ Force Reset นั่นเอง โดยแต่ละรุ่น ก็จะมีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกันออกไป มาดูกันว่า มือถือแอนดรอยด์ กับการ Force Reset ทำอย่างไรได้บ้าง

วิธีที่ 1
 
สำหรับ มือถือแอนดรอยด์ ที่สามารถถอดแกะฝาหลังได้ ให้เลือกวิธีแรกด้วยการ ถอดแบตเตอรี่ออก เพื่อให้ตัวเครื่อง Shut down แล้วค่อยเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ ซึ่งการถอดแบตเตอรี่ออกแบบนี้ ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อตัวเครื่องครับ
วิธีที่ 2


สำหรับรุ่นที่ไม่สามารถถอดแกะฝาหลังได้ ให้ลองทำวิธีนี้ดู ด้วยการกดปุ่ม Power ค้างเอาไว้ราวๆ 10-20 วินาที วิธีนี้จะเป็นการ Reboot ตัวเครื่องนั่นเอง แต่ถ้ากดปุ่ม Power แล้ว ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้ทำตามวิธีถัดไปครับ
วิธีที่ 3


สำหรับ มือถือแอนดรอยด์ ที่กดปุ่ม Power ค้างไว้แล้วไม่ได้ผล ให้ลองกดปุ่ม Power และปุ่มลดระดับเสียงพร้อมกัน ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที
วิธีที่ 4

และสุดท้าย ถ้าหากทำตามวิธีที่ 2 และ 3 แล้วไม่เกิดผลใดๆ ให้เปลี่ยนเป็นกดปุ่ม Power และปุ่มเพิ่มระดับเสียงพร้อมกัน ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที จะเป็นการ Reboot ได้อีกวิธีหนึ่งครับ
อย่างไรก็ดี ถ้าหากผู้ใช้ทำตาม 4 วิธีข้างต้น แล้วไม่เกิดผลใดๆ ให้ลองเปิดคู่มือการใช้งานและค้นหาวิธีการแก้ไขเสียก่อน แต่ถ้าหากหาคู่มือไม่เจอ ให้ส่งศูนย์เพื่อตรวจเช็คจะดีที่สุดครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

เคล็ดลับที่ทำให้มือถือ Android ของคุณ ทำงานเร็วขึ้น แรงขึ้น!!

เคล็ดลับที่ทำให้มือถือ Android ของคุณ ทำงานเร็วขึ้น แรงขึ้น!!

     ผู้ใช้ Android ทุกท่านที่ถือสมาร์ทโฟนระดับกลาง จนถึงรับดับ Top อาจประสบปัญหาการตอบสนอง Android ทำงานช้าลงเมื่อใช้เจ้ามือถือตัวนี้เป็นเวลานาน วันนี้จะมาลองทำให้มือถือ Android ของคุณ เร็ว แรงขึ้นเหมือนใหม่เลย


ถอดแอพที่ไม่จำเป็นออกจากเครื่อง ( Uninstall App )

ในเมื่อคุณแทบจะไม่ได้ใช้แอพนั้นเลยตั้งแต่โหลดมาจาก Play Store ก็ควรที่จะถอดแอพนั้นออกจากมือถือซะ จะได้มีพื้นที่แอพสำหรับติดตั้งแอพอื่น และอาจส่งผลถึงความเร็วที่ดีขึ้นด้วย
นอกจากนี้หากคุณมีไฟล์รูปเยอะแยะ ควรทำการ backup ลงคอมพิวเตอร์ทั้งหมด   หรือจะใช้วิธี อัพขึ้น บน cloud ของคุณ (เฉพาะเอกสารที่ไม่สำคัญ ) เพลง เป็นต้น   หากพื้นที่ภายในมือถือของคุณถึงขีดจำกัด ก็ลองย้ายทั้งไฟล์ข้อมูลของคุณ ที่อยู่ภายในมือถือมาลงใน SD-Card หรือย้ายแอพที่ทำงานจากตัวเครื่องอยู่ใน SD Card ก็ได้

ลบแคชภายในมือถือ ( Clear Cache on Android Device )

โดยสาเหตุส่วนหนึ่งนี้คือ แอพบางตัวที่ทำการ Cache ค่า หรือแอบดาวน์โหลดบางอย่างจาก Internet มาเก็บไว้ในเครื่องของเรานั่นเอง จนแคชโตขึ้น ทำให้พื้นที่หน่วยความจำภายในบนสมาร์ทโฟนของเราไม่พอ ดังนั้นต้องลบแคชในแต่ละแอพออกโดยสามารถติดตามอ่านวิธีการลบแคช ด้วยแอพ App Cache Cleaner ได้ที่นี่

ลดการใช้ Widget และ Wallpaper เคลื่อนไหว (Disable Live Wallpaper , Limit Widget )


ด้วยวิธีการเปลี่ยนมาใช้ภาพนิ่ง หรือ Wallpaper นิ่งๆไม่เคลื่อนไหว นอกจากจะช่วยประหยัดแบตแล้ว ยังช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องด้วย ทำให้สมาร์ทโฟนของคุณแรงขึ้นอีก และลดการใช้ Widget เหลือแค่ widget ที่เราใช้บ่อย  หรือ เอาพวก Widger ออกให้หมดก็ได้ ก็จะทำให้เครื่องแรงขึ้นได้เช่นกัน แถมช่วยลดการสูบ Data บน 3G , 4G ได้ด้วย

ปิด  Animation บนมือถือ

เป็นการปิดลูกเล่นสวยงามบนมือถือ ในการกระทำต่างๆ อาจดูแปลกๆหน่อย แต่เพื่อแลกกับความเร็วแรงขึ้นด้วย และไม่กระทบต่อระบบของเครื่องแน่นอน เพราะสามารถกลับมาเปิดอีกครั้งได้ สามารถปิด Animation เคลื่อนไหวต่างๆของมือถือทำได้โดยไปที่ Setting เลือก Developer Options   >>> จากนั้นให้ทำการ OFF ที่ Windows Animation Scale , Transition Animation Scale  , Animator Duration Scale ทั้ง 3 รายการนี้ให้เป็น Off ให้หมด

อัพเดตเฟิร์มแวร์

ในบางครั้งสาเหตที่ทำงานช้าอาจเป็นเพราะตัวระบบ Android ยังเก่า ดังนั้นควรอัพเดตเฟิร์มแวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการทำงานใหม่ๆ และการแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆจากเวอร์ชั่นเก่าด้วย ซึ่งสามารถเช็คเฟิร์มแวร์ใหม่ได้จากศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ ที่คุณซื้อมา  หรือเช็คตรวจสอบเฟิร์มแวร์ใหม่ ที่ Settings เลือกAbout Phone และเลือก “System updates”

อีกวิธีสำหรับเซียน Android อยู่แล้ว คือ ROOT

คำเตือน การ ROOT นี้ทำให้มือถือคุณหมดประกันทันที และหากทำพลาด อาจเสี่ยงถึงตัวระบบใน Android พังได้  แต่ถ้าคุณใช้มือถือจนหมดประกันแล้ว ( 1 ปีขึ้นไป ) และมีความชำนาญรู้เรื่องเกี่ยวกับการ ROOT บางทีการ ROOT ก็อาจช่วยให้มือถือแรงขึ้นดีขึ้นก็ได้ โดยต้องเลือก ROM ที่เหมาะสมกับเครื่องเราจริงๆ แต่ถ้าคุณเป็นผู้ใช้มือถือทั่วไป ก็ไม่ควรเลือกใช้วิธีนี้

หากไม่ช่วยให้แรงขึ้นเลย ทางออกคือเริ่มต้นใหม่หมด Factory Reset

วิธีนี้ทำให้ดูมือถือคุณเป็นเครื่องใหม่ตั้งแต่คุณซื้อมา ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัย และ Ok ที่สุดแล้วที่จะได้ความเร็วแรงของเครื่องกลับมาเหมือนใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องทำการ back up ข้อมูลต่างๆลงคอมของเรา หรือลง cloud ด้วย เช่น รายชื่อเบอร์โทรศัพท์ ต้องทำการ sync ขึ้นไปยัง gmail ก่อน  , ย้ายไฟล์ภาพ วีดีโอ เพลง ลงบนคอม เป็นต้น ก่อนทำการ Factory Reset ซึ่งวิธีนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดภายในมือถือ และให้ทำการตั้งค่ามือถือ Android ใหม่ เหมือนตอนซื้อเครื่องใหม่
วิธีการทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยให้มือถือของคุณทำงานได้เป็นปกติ เร็วขึ้น แรงขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดแบตได้อีกด้วย

วิธีการลบแคช ด้วยแอพ App Cache Cleaner ได้ที่นี่

วิธีการลบแคช ด้วยแอพ App Cache Cleaner ได้ที่นี่

สำหรับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนราคาถูก อย่างพวก Samsung galaxy y , galaxy mini , htc wildfire s หรือมือถือรุ่นเก่าๆ ที่มีหน่วยความจำภายในเครื่องแค่ 512 MB แต่ลงไม่กี่แอพก็เต็มแล้ว โดยสาเหตุส่วนหนึ่งนี้คือ แอพบางตัวที่ทำการ Cache ค่า หรือแอบดาวน์โหลดบางอย่างจาก Internet มาเก็บไว้ในเครื่องของเรานั่นเอง จนแคชโตขึ้น ทำให้พื้นที่หน่วยความจำภายในบนสมาร์ทโฟนของเราไม่พอ เช่นแอพ facebook , web browser


ดังนั้นเราจึงต้องเคลียค่าแคช แต่ถ้าทำการเคลียร์แคชทีละแอพก็ไม่สะดวก   จึงต้องพึ่งแอพที่จะแนะนำวันนี้คือแอพ App Cache Cleaner มาช่วยในการเคลียร์ Cache ทุกแอพในครั้งเดียว ซึ่งแอพนี้โหลดฟรีผ่านทาง Play Store   จากนั้นก็เปิดแอพ App Cache Cleaner ก็จะพบรายชื่อแอพ และเนื้อที่แคชสะสมไว้ในแต่ละแอพ ก็แตะที่ clear all เพื่อลบแคชจากทุกแอพหมดในครั้งเดียว เพียงเท่านี้ก็จะได้เนื้อที่หน่วยความจำภายในเพิ่มขึ้นแล้ว
แอพนี้ยังสามารถตั้งกำหนดวันในการลบแคชได้โดยอัตโนมัติได้ผ่านทางเมนู setting  เลือกที่ auto clear interval เพื่อกำหนดว่าลบแคชทุกกี่ชั่วโมงหรือกี่วันได้ด้วย
หากใครที่มีสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ android มีเนื้อที่น้อยๆแบบนี้ก็ลองใช้ App Cache Cleaner ในการเพิ่มเนื้อที่ว่างดู แต่ถ้าเนื้อที่ไม่พออีกก็ต้องตัดสินใจที่จะต้อง uninstall บางแอพที่คุณไม่ค่อยใช้ออกไป 
ข้อมูลจาก cnet , ghacks.net

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

BlueStacks App Player (โปรแกรม BlueStacks เปิดแอพ Android บน PC)



BlueStacks App Player (โปรแกรม BlueStacks สำหรับ PC ที่สามารถใช้งานระบบ Android) : สำหรับโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่มีชื่อว่า โปรแกรม BlueStacks ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี (PC) โดยมันเป็น โปรแกรมประเภทอีมูเลเตอร์ (Emulator) ที่จำลองระบบปฏิบัติการบนมือถือ ยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกอย่างแอนดรอยด์ (Android) ให้มาเล่นบนหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ของคุณได้ ซึ่งเจ้า โปรแกรม BlueStacks เป็นโปรแกรมสำหรับเล่นแอพฯ Android บน PC หรือจะเล่น Android บน เครื่องแมค (Mac) ก็สามารถใช้ BlueStacks นี้ได้เช่นกัน เรียกได้ว่ายกมือถือแอนดรอยด์ ของคุณมาอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของคุณได้เลย เหมาะมากๆ สำหรับผู้พัฒนาแอพฯ บนแอนดรอยด์ ที่ต้องการจะทดสอบแอพฯ หรือผลงานตัวเองแบบสะดวก ง่ายๆ ว่าใช้งานได้ดีหรือไม่ สำหรับคนอีกประเภทที่เหมาะคือ คนที่อยากเล่นเกมส์บนมือถือ แต่นั่งอยู่หน้าจอคอม แล้วสลับเครื่องไปมา ก็ใช้ โปรแกรม BlueStacks ตัวนี้ได้เช่นกัน
โปรแกรม BlueStacks นี้ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณสามารถเปิดแอพฯ Android บน PC ทั้ง แอพพลิเคชั่นทั่วไปหรือเกมส์ (Games) ต่างๆ ของระบบปฎิบัติการ Android ได้ ทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการใช้หรือทดลองใช้ระบบ ปฎิบัติการ Android ว่าเป็นอย่างไร ชอบมั้ย ก็โหลดเอาไปใช้ได้เลย หรือใครที่เป็นผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือแอนดรอยด์ ก็จะสามารถใช้งาน ทดสอบ ทดลองแอพฯ ของคุณได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ด้วย BlueStacks โปรแกรมนี้ ก็ถือเป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่น่าสนใจและน่าลองใช้มากๆ แต่ก็มีบางคนหัวหมอ เอาเจ้าโปรแกรมนี้ไปเปิดเกมส์ที่รันบนแอนดรอยด์ ปล่อยบอท เก็บเลเวล ได้มันส์ๆ โดยไม่ต้องเปิดมือถือให้เปลืองแบตเตอรี่ อีกด้วย
สำหรับ โปรแกรม BlueStacks นี้มีคนดาวน์โหลด BlueStacks ไปแล้วมากกว่า 20 ล้านคนทั่วโลกแล้ว ทำให้ คุณสามารถเล่นเกมดังๆ ผ่านแอพ BlueStacks ได้ เช่น Angry Birds, Temple Run หรือจะลอง โหลด LINE ไปเล่นดู และแอพอื่นๆ บน Play Store ได้ตามใจชอบบนเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะอย่างพีซี (PC) หรือ iMac ได้เลย
หมายเหตุ : โปรแกรม BlueStacks App Player ตัวนี้ ยังได้รับรางวัล 2012 CES Innovators Award ซึ่งถือเป็นรางวัล สุดยอดนวัตกรรม แห่งปี ค.ศ. 2012 ของงาน CES ที่จัดที่เมืองลาสเวกัส มลรัฐเนวาด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา และยังได้รับรางวัล "Best Software at CES2012" จาก CNET เว็บไซต์ไอทีชื่อดังของโลก อีกด้วย


Note : โปรแกรม BlueStacks App Player นี้ ทางผู้พัฒนา BlueStacks  (BlueStacks's Program Developer) เขาได้แจกให้ ทุกท่านได้นำไปใช้กันฟรีๆ (FREE) โดยท่าน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ท่านสามารถที่จะติดต่อกับทาง ผู้พัฒนาโปรแกรม BlueStacks นี้ได้ทางเว็บไซต์ ของผู้พัฒนา (Developer Website) :  http://www.bluestacks.com/contact-us.html (ภาษาอังกฤษ) ได้ทันทีเลย

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

Root คืออะไร? Root แล้วได้อะไร? ทำไมต้อง Root?

Root คืออะไร? Root แล้วได้อะไร? ทำไมต้อง Root?

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันก่อนว่า Android นั้นพัฒนาขึ้นมาจาก Linux เพราะฉะนั้น Kernel หรือแกนกลางที่ตัวระบบคุยกับ Hardware นั้นก็จะใช้รูปแบบเดียวกับ Linux ครับ จริงๆแล้วเราอาจจะเรียกแอนดรอยด์ว่าระบบปฎิบัติการ ( Operating System ) อย่างเต็มปากเต็มคำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เนื่องจาก Android นั้นไม่ได้เป็น OS ตรงๆแต่เป็น OS Stack เพราะ Android นั้นไม่ได้ติดต่อกับ Hardware โดยตรงครับ แต่จะใช้ Linux ในการติดไปอีกทีนึง

*** iOS เองจริงๆแล้วก็เป็น OS Stack เช่นกัน โดยมีพื้นฐานของตัว OS มาจาก FreeBSD และใช้ Kernel แบบเดียวกับ Linux ครับ ( FreeBSD เป็นญาติกับ Linux )

ถ้าหากสงสัยเรื่อง OS Stack ให้อ่านที่ลิ้งค์นี้ครับ http://c2.com/cgi/wiki?TheStack

Root ในภาษาของคนใช้ Linux ทั่วไป มันคือ Default Super User นั่นเองครับ หลังจากเราลง Linux หรือญาติของ Linux ตัวอื่นๆอย่าง Ubuntu, FreeBSD และ Fedora มันจะมี User ที่ขื่อว่า Root เป็น Super User ที่สามารถแก้ไขไฟล์และตั้งค่าระบบต่างๆในเครื่องได้ ถ้าจะพูดกันให้เข้าใจแบบบ้านๆกับคนใช้ Windows บ่อยๆ Super User ก็คือ Adminstrator นั่นล่ะครับ

    การ Jailbreak บน iOS ก็คือการทำให้ได้มาซึ่งสิทธิของ Super User เช่นเดียวกับ การ Root บน Android ครับ ทำให้หลังจากที่เราทำการ Jailbreak บน iOS แล้วเราจะสามารถแก้ไขส่วนต่างๆของระบบได้เช่นเดียวกับ Android ที่ทำการ Root พูดง่ายๆก็คือ Jailbreak(iOS) = Root(Android) นั่นเอง แต่ทว่า Android นั้นเค้าไม่ได้ล้อคการติดตั้งแอพฯที่ไม่รู้แหล่งที่มาหรือแอพฯนอก Market ( Unknow Source ) ทำให้ Android สามารถติดตั้งแอพฯที่เป็นไฟล์ .apk ได้เลย ต่างจาก Apple ที่ล้อคการติดตั้งเอาไว้ ทำให้ผู้ที่ต้องการลงแอพฯไฟล์ .ipa นั้นจำเป็นต้อง Root เพื่อแก้ไขระบบก่อน จึงจะสามารถลงแอพฯจากไฟล์ได้

Root แล้วได้อะไร?


    มีหลายๆคนมักจะเข้าใจผิดกันไปต่างๆนาๆว่า Root แล้วเครื่องจะเร็วขึ้น Root แล้วเครื่องจะเสถียรขึ้น Root แล้วเครื่องจะประหยัดแบตขึ้น     ต้องบอกว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ได้มาจากการ Root ครับ แต่มันจะได้มาหลังจากการ Root ต่างหากล่ะครับ บางคนอาจจะคิดง่ายๆว่าอยาก Overclock CPU ก็ Root แล้วลงแอพฯ Overclock ก็จบแล้ว จริงๆมันไม่ใช่ครับ บางเครื่องอาจจะง่ายๆแค่นั้น บางเครื่องก็ถึงกับต้องลง Custom ROM หรือยัด Kernel ที่ Support การ Overclock ลงไป ถึงจะสามารถ Overclock ได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราต้องการจะใช้อะไรหลังจากการ Root ให้ไปดูวิธีทำไว้ก่อนว่ามันยากเกินกว่าเราจะทำได้มั้ย หรือมันสามารถทำได้รึเปล่า เพราะเครื่องบางเครื่องมันก็ Overclock ไม่ได้นะครับ

    เรื่องที่ทำให้เครื่องเสถียรขึ้นก็เช่นกัน การที่ทาง Google จำเป็นต้องปิด Super user ไว้ไม่ให้เราใช้กันก็เพราะมันจะมีผลกับความเสถียรของเครื่องที่เราใช้อยู่นี่ล่ะครับ ถ้าหากเรามี Super user อยู่ในมือเราก็สามารถแก้ไขตัวระบบได้ แน่นอนว่ามันอาจจะทำให้เครื่องเสถียรขึ้นหรือลดความเสถียรลงก็ได้ เพราะฉะนั้นก่อนการ Root ทำใจเรื่องนี้กันไว้ด้วยนะครับ

ทำไมต้อง Root?


    แน่นอนว่าเพื่อทำให้เราสามารถแก้ไขตัวระบบ และเพิ่มความสามารถให้กับตัวระบบของเราได้นั่นเองครับ ลองมาดูตัวอย่างฟังชั่นที่มีประโยชน์ที่เราได้มาหลังจากการ Root กันดีกว่า - การแชร์ไฟล์แบบ NFS ( Network File Sharing ) ด้วย Samba File Sharing การแชร์ไฟล์ลักษณะนี้จะเหมือนกับการแชร์ไฟล์ระหว่าง Windows กับ Windows ผ่าน Wireless เลยล่ะครับ
- การ Fake Legion บน Android Market  เนื่องจากแอพฯใน Market บางตัวนั้นจะล้อคเอาไว้สำหรับประเทศของตัวเองเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นครับ แอพฯเค้าเยอะมาก แต่เราโหลดไม่ได้เพราะเค้าล้อคโซนเอาไว้ ก็ใช้พวก Market Enabler นี่ล่ะครับ Fake Legion ไปโหลดกัน - Overclock CPU อันนี้เอาสะใจครับ เอาไว้ Overclock วัด Quadrant ให้มันดูเยอะเล่นๆไปงั้นเอง สำหรับคนใช้ Galaxy S2 หรืิอ Galaxy Note ที่ใช้ Stock ROM สามารถโหลด Tegrak Overclock มาใช้ได้เลย - Droid Firewall เอาไว้บล้อคอินเตอร์เน็ตเป็นรายแอพฯไป อย่างเช่นผมเห็นว่า Whatsapp มันส่งข้อมูลบ่อยกินแบต หรืออยากจะออฟไลน์ Whatsapp ก็ใช้เจ้าตัวนี้ล่ะครับ

    ที่ผมบอกไปด้านบนนี่คือที่ตัวผมเองใช้อยู่บ่อยๆนะครับ แต่จริงๆแล้วมันยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก ทั้งการเปลี่ยน Font, การเปลี่ยน Boot Animation, การเปลี่ยนรูปแบตเตอร์รี่ และเปลี่ยนไปใช้ Custom ROM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถของเครื่อง

    ทั้งนี้การ Root อย่างไรก็ยังมีผลเสียอยู่ เช่น เครื่องพัง, ประกันหมด (เอากลับมาได้ด้วยการ Flash ROM ใหม่) ถ้าคิดจะ Root แล้วเจ้าของเครื่องก็ต้องรับความเสี่ยงกันเอาเองนะครับ

การ root เครื่อง Galaxy Note II แบบง่ายๆ


วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

การ root เครื่อง Galaxy Note II แบบง่ายๆ


สำหรับการรูธเครื่อง Galaxy Note II ที่ผมนำมาเสนอในครั้งนี้ ผมนำมาจากที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ
http://forum.xda-developers.com/showpost.php?p=31801060&postcount=2

เครดิตโดย dr.ketan แห่งเว็บ xda-developers.com ครับผม


......

เริ่มกันเลยดีกว่าครับ...ก่อนที่จะทำการรูธเครื่อง สิ่งที่คุณต้องเตรียมก็มีดังต่อไปนี้ครับ


 - ติดตั้ง adb driver / Kies บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณให้เรียบร้อย
  ลิ้งค์โหลด adb driver: http://d-h.st/a7H
  ลิ้งโหลด Kies: http://www.samsung.com/in/support/usefulsoftware/KIES/JSP


- หลังจากติดตั้ง adb driver / Kies บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว...ให้ทำการรีสตาร์ทเครื่องซักครั้งนะครับ

- ดาวน์โหลดซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการรูธที่ชื่อว่า Odin 3.04 มาไว้ในเครื่องของคุณ พร้อมกับทำการแตกไฟล์ zip ให้เรียบร้อย (โหลดได้ที่นี่ )

- ดาวน์โหลดไฟล์ CWM recovery & Root เครดิตคุณ chenglu แห่ง xda-developers.com โดยดาวน์โหลดได้ที่นี้  เมื่อโหลดมาแล้ว ไม่ต้องทำการแตกไฟล์นะครับ (ไฟล์จะเป็นนามสกุล .tar)


- หลังจากนั้นให้ทำการเชื่อมต่อ Galaxy Note II เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ซักครั้ง...เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรารู้จัก Galaxy Note II


- reboot Glaxy Note II เพื่อเข้าโหมด Download โดยทำการปิดเครื่องให้เรียบร้อย...แล้วจึงกดปุ่ม Vol Down + Home + Power (ถ้าเข้า Download โหมดได้...คุณจะพบกับหน้าจอพื้นสีดำ และมีตัวหนังสือบอกว่าเป็นโหมด Download)


 - เปิดซอฟท์แวร์ Odin และให้คลิ้กที่ปุ่ม PDA และเลือกไฟล์ cwm6-root-note2 ที่เราเพิ่งดาวน์โหลดมา (เหมือนในรูปตัวอย่าง)


 - ต่อ Galxy Note II เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์, หลังจากนั้น หน้าจอของซอฟท์แวร์ Odin จะขึ้นคำว่า 0:[COM9] เหมือนในรูปตัวอย่าง


 - กดปุ่ม Start ที่ด้านล่างของหน้าจอซอฟท์แวร์ Odin



- หลังจากนั้น ตัวซอฟท์แวร์ Odin จะทำการรูธเครื่องของเรา, ให้รอจนกระทั่ง Note II ถูกรูธและตัวเครื่องรีสตาร์ทแล้วหนึ่งครั้ง


 - ไปดูที่หน้าแอ็พ ว่ามีแอ็พชื่อ SuperSU ถูกติดตั้งลงมารึยัง...โดยแอ็พที่ว่านี้ จะมีหน้าตาไอคอนเหมือนรูปข้างล่าง, ถ้ามี แสดงว่าเรารูธสำเร็จแล้ว...ถ้ายังไม่มี...ให้ลองไล่ทำตั้งแต่แรกอีกครั้งนะครับ


สุดท้ายนี้...การรูธเครื่องมีความเสี่ยงนะครับ...ขอให้ทุกท่านอ่านรายละเอียดและศึกษาขั้นตอนต่างๆ อย่างระมัดระวังให้ดีก่อนที่จะลงมือทำครับ

9 สาเหตุหลักที่ทำไมเราต้อง Root เครื่อง Android


วันนี้ผมจะมารวบรวมเรื่องหลักๆว่าทำไมผู้ใช้แอนดรอยด์ทั้งหลายถึงชอบรูทกันจังเลย มันมีเหตุผลครับ ถ้ารูทแล้วมันไม่ดีขึ้นคงไม่มีใครทำกันหรอก ก็เลยขอสรุปหลักๆออกเป็น 9 ข้อใหญ่ๆ จากประสบการณ์ที่เคยใช้งานด้านการรูทมาด้วยตัวเอง

1.ปล่อยฟีเจอร์ที่หลับไหลอยู่ภายในให้ตื่นขึ้นมา และเอาไว้ติดตั้งแอปบางตัวที่มันไม่สามารถติดตั้งได้เมื่อเราไม่ได้รูท

เรื่องฟีเจอร์นี้โดยส่วนตัวผมยังไม่ได้เจอกับตัวเองมากนัก คือการรูทเนี่ยเราสามารถลง Rom ใหม่ๆได้(Rom ก็คือเฟิร์มแวร์รูปแบบนึงที่ทางนักพัฒนาได้ทำขึ้นมาโดยการเอา Romเพียวๆที่มีรการปล่อยออกมา แล้วพวกเค้าเอาไปปรับแต่งเพิ่มเติมจนมีลูกเล่นมากมาย) ทำให้อาจจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆจากรุ่นใหม่ได้เอามาติดตั้งในรุ่นของเราได้ เช่นบางคนใช้ Samsung Galaxy Note 2 แต่ได้เอา Rom ของ Note 3 มาใช้ ก็เลยสามารถใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ จาก Air command ทั้ง 5 ที่คู่กับปากกา S Pen ได้ และการติดตั้งแอปบางตัวที่ต้องรูทก่อนถึงลงได้ก็มีเยอะนะ โดยแอปเหล่านี้มักจะเกี่ยวข้องกับการ Backup ต่างๆ จริงๆมันมีเยอะเหมือนกัน แล้วบางแอปนะถึงไม่รูทก็ติดตั้งได้แต่ว่าฟีเจอร์ในแอปนั้นไม่สามารถใช้งานออกมาได้ทั้งหมดครับ เช่น Go Backup ถ้ายังไม่รูทก็ได้แค่ Backup แอปเก็บไว้ แต่ถ้ารูทนะ เราสามารถ Backup Data พวกการเซตค่าทั้งหลาย รวมถึงเซฟเกมล่าสุดไว้ได้ด้วย นี่แหล่ะเป็นประเด็นนึงที่คนส่วนใหญ่หันมารูทกัน

2.สามารถเพิ่มความเร็วของเครื่องได้ และมีผลทำให้แบตอึดขึ้นขึ้นได้

เรื่องเพิ่มความเร็วของเครื่องกับการทำให้แบตอึดชึ้นได้นั้นเป็นเรื่องจริงครับ แต่ต้องมีแอปทำการปรับแต่งใหเป็นด้วย เพราะไม่ใช่ว่าแค่รูทเฉยๆแค่นั้นแล้วแบตจะอึดขึ้น เครื่องเร็วขึ้นเลย การรูทมันแค่อนุญาตให้เราเข้าไปยุ่งกับการแต่งเครื่องถึงภายในได้มากขึ้น เช่นถ้าอยากให้เครื่องเร็วขึ้นเราต้องหาแอปที่สามารถ Clock CPU ขึ้นมาได้เช่นบางรุ่น CPU เดิมๆเป็น Dual Core 1.2 GHz แต่เราสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 1.9 GHz เลยทีเดียว แต่ผมไม่แนะนำเพราะเครื่องมันจะร้อนมากๆจน CPU อาจไหม้ได้รวมทั้งกิตแบตมากด้วยและเรื่องการทำให้แบตอึดขึ้นมีหลายปัจจัย เช่นหา Rom ดีๆที่ไม่ได้ใส่พวกแอปขยะที่มันรันเองเบื้องหลังเยอะมาก เปลี่ยน Kernel ที่มันประหยัดแบตขึ้น (จะอธิบายให้ฟังในข้อ 7) ตัวที่ผมใช้แล้วชอบชื่อว่า Apolo ลองใช้ดูมันอึดสุดแล้วก็ Sleep ดีที่สุดและกินแบตน้อยที่สุดแล้ว ขอยืนยัน สุดท้ายคือเราควร Clock CPU ลงมาให้มันรันด้วยความเร็วลดลงเช่นเดิม CPU เร็ว 1.2 ก็ลดมาเป็น 1.0 จะช่วยให้การทำงานช้าลงและกินแบตน้อยลงได้

3.สามารถทำการบล็อกพวกโฆษณาต่างๆที่ติดมากับแอปฟรีได้

ข้อนี้เป็นอีกเหตุผลนึงที่ผมรูทเครื่องเพราะขณะที่เรากำลังเล่นแอปอยู่นั้น มันจะมีโฆษณากวนใจออกมาให้เรารำคาญ สามารถบล็อกได้แบบดีเยี่ยม แต่ปัจจุบันทาง Google ได้ถอดแอปเหล่านี้ออกจาก Google Play ไปน่าจะหมดแล้ว เพราะการโฆษณาแอปถือเป็นรายได้หลักของนักพัฒนา

4.สามารถทำการ Backup พวกดาต้าในแอปหรือเกมได้

ส่วนข้อนี้เป็นเหตุผลหลักจริงๆของการรูทของผม เพราะผมเบื่อมากตอนที่มีเฟิร์มแวร์มาใหม่เช่นแอนเรอยด์ 4.3 อัพเป็น 4.4 แล้วเพื่อความเสถียรควร Factory reset 1 รอบ แล้วเซฟเกมที่เล่นจนเทพหายหมด จนต้องกลับมาเล่นใหม่ ก็เลยต้องรูทเพื่อ Backup เซฟเกมเหล่านั้นให้กลับมาใช้เล่นต่อได้หลักทำการล้างเครื่องไปแล้ว

5.สามารถเอาแอปพวกที่ทางค่ายมือถือเค้าติดตั้งมาให้แต่แรกในเครื่องออกได้

เรื่องนี้ก็สำคัญสำหรับคนที่ชอบทำให้เครื่องเบาๆไว้ก่อน เหมาะกับคนขี้ระแวงว่าทำไมเมมในเครื่องเหลือน้อยจัง เครื่องอึดดดดด ก็ทำการลบมันทิ้งซะเลย ข้อเสียอย่างใหญ่หลวงคือ ถ้าคุณซน ไปเผลอลบแอปที่สำคัญมากสำหรับตัวเครื่องนั้น คุณจะไม่สามารถกู้มันกลับมาได้เลย และอาจทำให้เครื่องเปิดไม่ได้อีกเลยก็เป็นได้ มันก็มีวิธีแก้คือต้องแฟลชรอมใหม่เข้าไป หรือหาไฟล์ apk ของแอปที่หายไปติดตั้งเข้าไปก็ได้ หาได้จากเว็บ xda developer




6.สามารถทำงานกับแอปบางตัวหรือเกมบางเกมจากตลาดมืดได้ดีกว่าตอนไม่รูท

เรื่องนี้ขอข้ามแล้วกัน มันจะทำงานได้ดีกว่ากับแอปหรือเกมโกงทั้งหลายจากตลาดมืด ถึงแม้ว่าไม่รูทก็สามารถใช้งานได้เหมือนกัน

7.สามารถทำการแฟลช Custom Kernel ได้ด้วยตัวเอง

การแฟลชก็คือการติดตั้งนั่นแหล่ะ ส่วน kernel ตีความง่ายๆก็เหมือนเป็นผู้จัดการในเครื่องที่คอยสั่งการว่าจะบริหารพลังงานอย่างไรให้ประหยัด kernel แต่ละรุ่นจะแตกต่างกันออกไปอยู่ที่ว่าเรามุ่งเน้นปรับแต่งเยอะมั้ย หรือเน้นประหยัดแบตมากกว่า โดนปกติ kernel จะมาพร้อมกับ Custom Rom อยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่พอใจก็เปลี่ยนใหม่ได้ตามต้องการ คำว่า Custom แปลง่ายๆคือ ที่ไม่ใช่ของศูนย์จากค่ายมือถือ แต่เป็นของทางนักพัฒนาภายนอกแต่งมันขึ้นมาเอง

8.สามารถทำการแฟลช Custom Rom ได้ด้วยตัวเอง

การติดตั้งสามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเอง

การติดตั้งสามารถติดตั้งได้หลายช่องทางเช่น Odin หรือ CWM เป็นต้นแต่ผมชอบทำผ่าน CWM มากกว่าเพราะรู้สึกว่ามันง่ายและปลอดภัยดี แอนดรอยด์ทุกเครื่องสามารถเข้าโหมดนี้ได้ทั้งหมดแต่วิธีการเข้าแตกต่างกันออกไป ใน Custom Romก็มีทุกอย่างแหล่ะตั้งแต่พวกตัว Rom Kernel แอปพื้นฐานในตัวเครื่องที่ควรจะมี ,ฟีเจอร์ใหม่ๆที่อาจจะใส่เข้ามาให้ด้วย ข้อดีของ Custom Rum ก็คือมันจะมีขนาดที่เล็กกว่า และเบาเครื่องมากกว่า Official Rom หรือ Rom ศูนย์นั่นแหล่ะ เพราะเค้าได้ตัดพวกที่ไม่จำเป็นออกหมดเลย

9.สามารถปรับแต่งให้มันเป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะกับตัวเราได้เองอย่างแท้จริง

ก็สรุปจากที่พูดมาทั้งหมดการรูทคือการเข้าใช้สิทธิ์ที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าของเครื่องจริงๆเพราะเราจะทำอะไรมันก็ได้ ปรับแต่งได้จนกว่าเราจะพอใจ

สรุป : การ Root เป็นสิ่งที่ดี จะตอบโจทย์กับผู้ใช้ที่ยังไม่พอใจกับรอมศูนย์ ส่วนคนที่ยังเป็นมือใหม่แล้วเห็นว่าเพื่อนรูทกันแล้วตัวเองอยากรูทบ้าง ก็จงตั้งคำถามกับตัวให้ดีว่าคุณจะรูทเพื่ออะไร ระหว่างตอบโจทย์ความต้องการตามที่ผมได้โพสบอกไปแล้ว หรือแค่ตามกระแส ตามเพื่อนแค่นั้น? สุดท้ายนี้ ผมคงห้ามอะไรไม่ได้ถ้าจะรูทเพราะเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่คุณต้องศึกษาหาความรู้จนมีความรู้ความเข้าใจในระดับนึงที่รู้ถึงข้อดี-ข้อเสีย-วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ถ้าคุณผ่านจุดๆนี้ได้ ผมเชื่อว่าคุณจะมีสมาร์ทโฟนดีๆที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างแท้จริงครับ

ขอจบบทความแต่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีตั้งค่า APN 3G True-h Dtac Ais TOT แบบละเอียดระบบAndroid(แอนดรอยด์)

 ใช้ 3g ไม่ได้...
       ตั้งค่า APN 3g True-H Dtac Ais TOT ยังไง...
       แท็บเล็ตจีนใช้ 3g ไม่ได้...
       เชื่อว่าหลายๆ ท่านที่อ่านบทความนี้กำลังเจอปัญหาใช้ 3g ไม่ได้แน่ๆ บ้างท่านก็ทราบว่าเพราะไม่มีค่า APN ของแต่ละค่ายมือถือ โดยเฉพาะ True-H ที่ส่วนใหญ่จะต้องตั้งค่า APN เอง และยิ่งเป็นมือถือหรือแท็บเล็ตจีนที่ไม่ใช่แบรนด์ละก็ค่า APN บางค่ายไม่มีหรอกครับ (ยกเว้น Dtac กับ AIS ที่ใส่ Sim ก็จะขึ้น APN มาให้เลย) ก็เดิมที่เค้าไม่ได้ทำใช้ในไทยอย่างเดียวที่ไหนกันละ แต่..... เรื่องกล้วยๆ แบบนี้ ส.บ.ม.ย.ห. ครับ เราก็ใส่ซะเองเลย วันนี้ทางร้าน Tabletimport ก็ได้นำวิธีตั้งค่า APN ของค่ายมือถือในไทยแบบละเอียดยิบมานำเสนอให้ครับ
       เพื่อไม่ให้เนื้อหาดูลำบาก จะขอแยกการตั้งค่าAPN ของแต่ละค่าย คลิ๊กตาม Link นี้ไปได้เลยนะครับ
         - การตั้งค่า 3g APN True-H (Truemove-H) คลื่น 850/2100 MHz
         - การตั้งค่า 3g APN DTAC คลื่น 850/2100 MHz
         - การตั้งค่า 3g APN AIS คลื่น 900/2100 MHz
         - การตั้งค่า 3g APN TOT - Imobile 3GX คลื่น 2100 MHz
         ส่วนอันนี้เป็น วิธีเปิดใช้งาน 3g แท็บเล็ตหรือมือถือ True-h dtac Ais TOT
       ก่อนจะตั้งค่า 3g APN ให้กับมือถือหรือแท็บเล็ตเครื่องใดก็ตาม อย่าลืมตรวจสอบเครื่องของท่านก่อนนะครับว่ารองรับ 3G คลื่นอะไรบ้าง มิฉะนั้นตั้งค่าไปจะเสียเวลาเปล่าๆนะครับ เพราะไม่สามารถใช้งานได้ หากเครื่องนั้นๆไม่รองรับคลื่นของค่ายมือถือนั้นๆ ส่วนการตรวจสอบว่าเครื่องของท่านรองรับ 3g ค่ายไหนบ้างคงต้องตรวจสอบจากสเปคเครื่องหรือสอบถามจากทางร้านที่ซื้อมาก็ได้ครับ tabletimport
       ในบทความนี้เป็นการใส่ค่า APN ของเครื่อง Vido Mini M3 3G Android 4.2.2 ที่รองรับคลื่น 850/2100 MHz นะครับ ดังนั้นหน้าตาการตั้งค่า APN อาจจะไม่เหมือนกัน แต่หลักการจะคล้ายๆ กันนะครับว่าแล้วก็ไปดูกันเลยยยยย
       1. เข้าที่ปุ่มเมนู ตามสัญลักษณ์รูปที่ 1 ได้เลยครับ หรืออาจจะเป็นรูปจุด 3 จุดที่มุมขวาบนแล้วแต่รุ่นของมือถือครับ
 2. เลือกสัญลักษณ์ "การตั้งค่า" หรือ "Setting" ตามรูปที่ 2 มีวิธีเข้าได้หลายวิธีนะครับ อันนี้ผมเข้าแบบพื้นฐานเผื่อบางท่านไม่เข้าใจนะครับ
       3. มาถึงหน้าการตั้งค่า ด้านซ้ายมือให้เลือก "เพิ่มเติม..." จากนั้น ทางด้านขวามือให้เลือก "เครือข่ายมือถือ" ตามลำดับดังรูปที่ 3
     4. เลือก "ชื่อจุดเข้าใช้งาน" ตามรูปที่ 4
รูปที่ 4


       5. เลือกสัญลักษณ์ "เมนู" ด้านขวาบนสุดที่เป็นจุด 3 จุด ตามรูปที่ 5 กรณีที่มี APN ของค่ายมือถือขึ้นมาอยู่แล้วแต่ยังใช้งานไม่ได้ ท่านสามารถเข้าไปตรวจสอบค่า APN 3G ของแต่ละค่ายนั้นๆ ว่าตั้งค่าถูกต้องหรือไม่ โดยไม่ต้องเลือกสร้างใหม่ก็ได้ครับ
รูปที่ 5


       6. สร้าง APN ใหม่โดยเลือก "APN ใหม่" ตามรูปที่ 6

รูปที่ 6

       7. ในหน้านี้ให้ตั้งค่า APN 3g ของแต่ละค่ายได้เลยครับ โดยค่า APN ของแต่ละค่ายสามารถเข้าไปดูได้ที่ Link ที่อยู่ตอนต้นของบทความนะครับ APN True-H Dtac AIS TOT 3gx

รูปที่ 7
       8. หลังจากที่ตั้งค่า APN 3g เสร็จแล้ว ให้เลือกสัญลักษณ์ "เมนู" ด้านขวาบนสุด และเลือก "บันทึก" ตามรูปที่ 8 ในส่วนนี้แท็บเล็ตหรือมือถือแต่ละรุ่นไม่เหมือนกันนะครับ แต่ก็จะคล้ายๆ กันครับ

รูปที่ 8

      9. เมื่อบันทึกค่าแล้วจะมีค่า APN 3g ของค่ายมือถือที่ใส่ค่าขึ้นมา ตัวอย่างรูปที่ 9 เป็น APN 3G ของ TOT Imobile 3GX ครับ และอย่าลืมเปิด-ปิดมือถือหรือแท็บเล็ตก่อนนะครับ

รูปที่ 9
       10. เทสการใช้งาน 3G กันได้เลยครับ ตามรูปที่ 10 จะมีตัวอักษรอยู่บนสัญญาณมือถือหมายความว่าใช้งานได้แล้วครับ แต่อย่าลืมเปิดการใช้งาน 3g ด้วยนะครับ วิธีเปิดใช้งาน 3g แท็บเล็ต มือถือ
       เป็นยังไงกันบ้างครับการตั้งค่า APN ให้กับมือถือเพื่อใช้ 3G ง่ายๆใช่ไหมครับ ไม่ต้องเสียเวลาไปที่ศูนย์ของค่ายมือถือให้เสียเวลา และบางทีพนักงานไม่ทราบรายละเอียดแท็บเล็ตหรือมือถือที่เราใช้ด้วย บางทีเจอคำตอบอย่างเดียวคือเครื่องเราใช้ไม่ได้ จบ!!! สงสัยส่วนไหนติดต่อสอบถามกันได้นะครับผม อ่านจบได้ประโยชน์แล้วอย่าลืมแชร์บทความกันนะครับ >_<"

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

ข้อดี VS ข้อเสีย ของ Android!!

 ข้อดี VS ข้อเสีย ของ Android!!


ข้อดีของ Android


1. ความเข้ากันได้ระหว่างมือถือกับระบบ : ด้วยความที่เป็นOpen-Source ทำให้ค่ายมือถือสามารถหาทางออกร่วมกันในแง่ข้อกำหนดขั้นต่ำที่จะใช้Android และด้วยความที่เป็น Open-Source จึงมีคนเริ่มดัดแปลงให้ใช้กับNetbook ได้ด้วย

2. ราคา : Open-Source ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้ แถมยังเข้ากันได้กับตัวเครื่องเนื่องจากร่วมกันผลิต ดังนั้นต้นทุนผลิตจึงต่ำ และตัวแอนดรอยด์ (ไม่รวมราคาของเครื่องที่ใช้) ถูกกว่าos ของ iphone

3. เราสามารถพัฒนาเองโดยไม่ต้องส่งคืนไปให้ที่บริษัทแม่ในต่างประเทศ เหมือนเทคโนโลยีอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นระบบเปิด จึงสามารถพัฒนาได้เอง ในส่วนของซอฟต์แวร์ภายในเครื่องนั้น 90% จากต่างประเทศและอีก10% เป็นของคนไทย โดยใช้ platform android ที่สามารถพัฒนาโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างแทบไม่มีขีดจำกัด ตัวพัฒนาโปรแกรมใน android(SDK) นั้นสามารถโหลดมาใช้ได้ฟรีๆ และไม่ได้มีข้อจำกัดเหมือน iphone ที่เวลาโอนถ่ายข้อมูลระหว่างโทรศัพท์กับคอมพิวเตอร์ต้องต่อสายและโอนข้อมูลผ่านitune เท่านั้น

4. หากเทียบกับ iphone แล้ว Androidเน้นในเรื่องการใช้งานแอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย สามารถตกแต่งได้ตามใจชอบมากกว่า

5. สามารถใช้งานด้วยนิ้วได้สะดวกและลื่นไหล

6. สามารถทำงานได้เร็วกว่า windows mobile เร็วพอๆกับ iphone ในมาตรฐานราคา licences ที่เท่ากัน





ข้อเสียของ Android

 

1. เนื่องจากเป็นน้องใหม่ในตลาด โปรแกรมที่จะใช้ได้กับระบบยังไม่เยอะ มีโปรแกรมเสริมให้เลือกน้อย การพัฒนาอาจจะล่าช้ากว่า commercial software เมื่อระบบพัฒนาถึงจุดๆหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับผู้ใช เนื่องจากผู้ใช้คงไม่ได้อัพเกรดระบบซักเท่าไหร่นัก

2. Process : เราไม่สามารถปิดProcess เองได้ ถ้าเปิดโปรแกรมอะไรขึ้นมามันจะรันอยู่อย่างนั้นตลอดซึ่งจะทำให้เครื่องช้าลงเรื่อยๆ ต้องมาลงโปรแกรม Task Manager คอยปิด Process ทำให้ยุ่งยากมากขึ้น

3. เมื่อเทียบกับ WindowMobile ในแง่ความแพร่หลายของโปรแกรม, การใช้งานGPS และการใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ที่เป็น Windowsแล้ว Android ยังสู้ไม่ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งการใช้งานร่วมกับภาษาไทยยังไม่รู้ว่าจะทำได้ดีขนาดไหนอีกด้วย

4. ใช้งานยากเพราะเมนูซับซ้อน ต้องทำความเข้าใจก่อน

5. ต้องต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลาจึงจะใช้ฟังก์ชันได้เต็มที่


[Android คืออะไร?] รู้จัก Android (แอนดรอยด์)

[Android คืออะไร?] รู้จัก Android (แอนดรอยด์)

     หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบ เทคโนโลยี รวมถึง เป็นคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว ก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่า แอนดรอยด์ (Android) เป็นอย่างดี ซึ่งในตลาดสมาร์ทโฟนในปัจจุบันนั้น แอนดรอยด์ ถือเป็นอีกหนึ่งระบบปฏิบัติการในตลาด ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่แพ้กับระบบปฏิบัติการอื่นๆ ซึ่งในวันนี้ ทีมงานได้รวบรวมเอาข้อมูล ที่อาจจะช่วยให้ หลายๆท่านที่กำลังสนใจนั้น ได้รู้จักกับ ระบบปฏิบัติการตัวนี้กันมากขึ้น ว่า แอนดรอยด์​คืออะไร และ ทำอะไรได้บ้าง ลองมาชมกันเลยครับ


แอนดรอยด์ (Android) คืออะไร?


      วิธีที่จะเข้าใจว่า Android(แอนดรอยด์) คืออะไร? อย่างง่ายๆ ให้เราลองนึกถึง คอมพิวเตอร์ที่บ้านครับ ตอนนี้ใช้ Windows อะไรอยู่ครับ บางคนก็จะตอบว่า Windows 7, Windows Vista บางคนก็ตอบว่า Windows XP หรือบางคนอาจจะตอบว่า ผมไม่ใช้ Windows ผมใช้ Linux ซึ่งจะเป็น Linux รุ่นไหนก็ว่ากันไป … Windows หรือ Linux เราเรียกมันว่า ระบบปฏิบัติการ(OS) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าคอมพิวเตอร์ไม่ลง Windows ก็จะเปิดเครื่องเพื่อทำงานไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น โทรศัพท์มือถือ SmartPhone ก็เช่นเดียวกันครับ มันต้องการ OSซึ่งใน iPhone นั้นบริษัทแอปเปิ้ลใช้ OS ที่ชื่อว่า iPhone OS ครับ ในขณะที่บริษัทกูเกิ้ล(Google) บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที อีกรายก็ได้ซุ่มพัฒนา OS ที่มีชื่อว่าAndroid(แอนดรอยด์) OS ขึ้นมา ซึ่ง Android(แอนดรอยด์) เวอร์ชั่น 1.0 ได้ถูกปล่อยออกมาใช้งานอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ 2008คู่แข่ง iPhone?วงการมือถือในปัจจุบันมีโทรศัพท์กลุ่มที่เรียกว่า SmartPhone ซึ่งคือมือถือที่ทำอะไรได้มากกว่า โทรเข้า-ออก โดยสามารถเข้าถึงบริการต่างๆบนอินเตอร์เน็ตผ่าน App(แอพลิเคชั่น หรือโปรแกรม)บน Smartphone ทำให้โทรศัพท์มือถือในกลุ่ม SmartPhone เป็นอะไรที่ดึงดูดผู้ใช้งานมือถือที่ต้องการอะไรที่ใหม่ๆ เข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร และเกิด LifeStyle ใหม่ๆ ซึ่งในปัจจุบัน เจ้าตลาด SmartPhone คือ iPhone ของบริษัทแอปเปิ้ล ที่โด่งดังมาตลอดในช่าม 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยยังไม่มีใครมาทาบรัศมีได้.. แต่แล้วในปีนี้เราเริ่มจะเห็นมือถือหลายรุ่นที่มีหน้าตาการทำงานคล้ายกัน และมีความสามารถที่ทัดเทียมกับ iPhone และในบางกระแสบอกว่า ความสามารถของเจ้ามือถือนี้ ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า iPhone เสียอีก… ผู้คนเรียกขานเจ้ามือถือหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่มีหน้าตาการทำงานที่เหมือนกันนี้ว่า “Android(แอนดรอยด์) Phone”

ต้นกำเนิด แอนดรอยด์ (Android)


     ย้อนไปเมื่อประมาณ เดือน ตุลาคม ปี 2003 Andy Rubin ได้ก่อตั้งบริษัท แอนดรอยด์ (Android, Inc.) พร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่ถือว่ามีความสามารถแตกต่างกันออกไปในแต่ละด้าน ร่วมกันพัฒนามาเรื่อยจนเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2550 โทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ ก็ได้ออกวางจำหน่าย ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ คือ HTC Dream

Android 4.0 หรือ Android 4.1? ตัวเลขข้างหลังคืออะไร? เพื่ออะไร?


     Android(แอนดรอยด์) 4.0 เป็นหมายเลขเวอร์ชั่นของ ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ ครับ เหมือนที่ Windows มีทั้ง Windows95, Windows 2000, Windows XP, Windows Vista ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเวอร์ชั่นที่พัฒนาต่อๆกันมาของ Windows ครับ ใน Android OS เองก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ตอนนี้ Android OS มีทั้งหมด 10 เวอร์ชั่นแล้วครับและมีชื่อเล่นสำหรับเรียกง่ายๆด้วยครับซึ่ง ก็ได้แก่ Apple Pie(Android 1.0),Banana Bread(Android 1.1),CupCake(Android 1.5), Donut(Android 1.6), Éclair(Android 2.1), Froyo(Android 2.2), Gingerbread(Android 2.3), Honeycomb(Android 3.0), Ice Cream Sandwich(Android 4.0), Jelly Bean (Android 4.1) จะสังเกตุเห็นได้ว่า ชื่อรุ่นทุกรุ่นเป็นของหวานทั้งหมดเลยครับ และในรุ่น Android ที่จะพัฒนาในอนาคตซึ่งยังไม่มีการกำหนดเลขเวอร์ชั่นก็จะมีชื่อว่า Key lime pie อีกด้วย.. แค่อ่านชื่อก็อิ่มแล้ว..

วิธีการเลือกซื้อมือถือ Android Phone


1. เลือกเวอร์ชั่นของ Android OS


     เนื่องจาก Android(แอนดรอยด์) Phone  เป็นมือถือที่มีส่วนประกอบของ ระบบปฏิบัติการเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้นการเลือกซื้อ Android Phone จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึง เวอร์ชั่นของAndroid(แอนดรอยด์) OS ที่เราต้องการด้วยครับ ซึ่งเมื่อไปที่ร้านมือถือตั้งใจจะซื้อ Android Phone สักเครื่อง แต่แล้วเราก็จะมึนงง เพราะว่ามือถือ Android Phone แต่ละยี่ห้อใช้Android คนละเวอร์ชั่น! แล้วเราจะเลือกยังไงกันดี แล้วเราต้องใช้รุ่นไหนยังไง.. Android Phone รุ่นไหนคุ้มไม่คุ้มยังไง… ความมืดแปดด้านของการเลือก Android Phone ก็เริ่มครอบงำเรา… งั้นเรามาดูรายละเอียดว่า Android(แอนดรอยด์) OS แต่ละรุ่นมีความสามารถอะไรกันบ้างดีกว่าครับ เราจะได้รู้ว่า โทรศัพท์ Android Phone รุ่นที่เราเล็งอยู่นั้น มันทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้บ้าง

2. พิจารณาคุณสมบัติด้านอุปกรณ์ในตัวเครื่อง


    นอกจากจะต้องพิจารณา Android(แอนดรอยด์) OS แล้วเรายังต้องพิจารณาคุณสมบัติของอุปกรณ์ในเครื่องด้วยนะครับ ซึ่งประกอบไปด้วยหน้าจอ ใช้วัสดุอะไรในการประกอบ ซึ่งมีตั้งแต่ LCD LED AMOLED หรือ Super AMOLED ตัวใหม่แบบอินเทรนด์หน้าจอ รองรับการใช้ Touch screen และ multi touch screen หรือไม่CPU ที่ใช้เป็นยี่ห้ออะไร มีความเร็วเท่าไหร่ โดยมีหน่วยวัดเป็น Hz นะครับ คล้ายการวัดใน cpu เครื่องคอมพิวเตอร์ และแน่นอนว่า ยิ่งมีความเร็วมาก ก็ยิ่งดีครับ(ก็จะมีราคาสูงตามนะครับ)หน่วยความจำภายใน เนื่องจาก Android Phone ต้องการหน่วยความจำภายในตัวหลักในการลง Android OS และ App สำหรับการใช้งาน(สำหรับ Android 2.2 จะสามารถลง App ใน sd-card ได้ ปัญหาเรื่องนี้จึงไม่มี แต่ถ้าเป็น Android(แอนดรอยด์)รุ่นต่ำกว่านี้ ต้องคิดเรื่อง ความจุของหน่วยความจำให้ดีครับ)คุณภาพของเสียง ซึ่งผู้ผลิตแต่ละรายก็จะมี มาตรฐานการพัฒนาคุณภาพเสียงที่แตกต่างกันออกไป เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญครับอุปกรณ์รับสัญญาณ GPS เป็นชิปประมวลผลเล็กๆที่อยู่ใน Android Phone ซึ่งเจ้าตัวนี้มีผลต่อการใช้งาน Application หลายตัวเลยนะครับ Android Phone บางรุ่นมีอุปกรณ์รับสัญญาณ GPS บางตัวก็ไม่มีครับอุปกรณ์รับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ เข็มทิศดิจิตอล แบบที่เห็นใน iPhone นั่นเองครับคุณภาพของกล้องที่ Android Phone แต่ละรุ่นก็จะมีความสามารถในการถ่ายรูปที่ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเลนส์และหน่วยประมวลภาพอย่าลืมนะครับ Android Phone ประกอบด้วยส่วนของ Android(แอนดรอยด์) OS และ คุณสมบัติด้านฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่อง ก่อนซื้ออย่าลืมตรวจสอบว่า Android Phone ที่ซื้อนั้นเป็นไปตามความต้องการของเราจริงๆ นะครับ